โอพันเทียพืชประหยัดน้ำ
เมื่อวันก่อน แอดมินเขียนเรื่องเกี่ยวกับโอพันเทียกับการเป็นไม้ฟอกอากาศของเขา สาเหตุที่ทำให้เขาพิเศษกว่าพืชทั่วไปก็คือความเป็นพืช CAM นั่นเอง วันนี้จะมาเพิ่มประเด็นสำคัญของพืช CAM โอพันเทียในอีกประเด็นหนึ่่งนั่นคือ ประสิทธิภาพในการใช้น้ำ (Water-Use Efficiency, เรียกย่อๆ WUE)
ทุกวันนี้อากาศเปลี่ยนแปลงโลกร้อนขึ้น ความแห้งแล้งก็มาเยือน ประเทศไทยเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำก็เริ่มไม่เป็นเช่นนั้น เราต้องมีการประกาศให้ความช่วยเหลือพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติแห้งแล้งเกือบทุกปี บ้านแอดมินเองอยู่ภาคเหนือปกติปลูกข้าวได้ แต่หลายปีมานี้ช่วงแล้งหรือช่วงทำนาปรังเนื่องจากไม่มีน้ำเพียงพอต่อการเกษตรจึงมีการห้ามปลูกข้าว แล้วเพื่อนๆ ลองคิดดูถ้าเรามีพืชที่ใช้น้ำน้อยและใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ปลูกแล้วให้ผลผลิตเยอะกว่าพืชชนิดอื่นจะดีแค่ไหน เหมือนลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนสูงประมาณนั้น
ประสิทธิภาพในการใช้น้ำ (WUE) คือ ประสิทธิภาพในการสร้างเนื้อเยื่อของพืชต่อน้ำที่ใช้ คิดที่มวลแห้ง มีหน่วยเป็นน้ำหนักของพืชต่อน้ำหนักของน้ำที่ใช้ ยกตัวอย่างเช่น เรารดน้ำผักคะน้าไป 1 ลิตร หรือ 1 กิโลกรัม ได้เนื้อต้นคะน้าที่คั้นน้ำออกแล้วมา 1 กรัม, ค่า WUE จึงเท่ากับ 1 กรัมต่อน้ำ 1 กิโลกรัม (ยกตัวอย่างนะตัวเลขข้อมูลจริงๆ ไม่รู้)
มาว่าโอพันเทียต่อ โอพันเทียเป็นพืช CAM มีการเปิดปากใบเฉพาะตอนกลางคืนที่มีอุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง จึงลดโอกาสการเสียน้ำในตอนกลางวันที่มีอุณหภูมิสูงและความชื้นต่ำกว่ากลางคืน พบว่าการคายน้ำของพืช CAM โดยทั่วไปต่ำกว่าพืช C3 และ C4 ประมาณ 3-5 เท่า หรือถ้าเทียบว่าการเสียน้ำของพืช C3 และ C4 คิดเป็น 100% น้ำที่พืช CAM เสียไปก็แค่ 20%-30% ของพืช C3 และ C4 เท่านั้น เมื่อเทียบกันในระดับที่เปิดปากใบเท่ากันในตอนกลางวัน ผลคือทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำอย่างมากมาย ทำให้พืช CAM หรือโอพันเทียมีความสามารถที่จะเจริญงอกงามในพื้นที่กึ่งแห้งแล้งได้ (พื้นที่กึ่งแห้งแล้งคือพื้นที่ที่วัดระดับน้ำฝนทั้งปีได้แค่ 200-300 mm) หรือพื้นที่ที่มีน้ำฝนมากกว่านี้แต่เวลาแห้งแล้งยาวนานและอุณหภูมิค่อนข้างสูง มีการวิจัยได้ข้อมูลว่าโอพันเทียฟิคัสอินดิกามีค่าประสิทธิภาพในการใช้น้ำเท่ากับ 3.3-4.0 กรัมต่อน้ำ 1 กิโลกรัม
และนอกจากกลไกการเปิดปากใบในตอนกลางคืนแล้ว โอพันเทียยังมีระบบรากที่เสื่อมสลายได้เร็วในกรณีที่ดินแห้งแล้ง และเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อมีน้ำมา คือเมื่อดินแห้ง น้ำจากรากก็จะไหลย้อนกลับไปในดิน ดังนั้นเมื่อรากเสื่อมสลายไปก็เกิดช่องว่างขึ้นเหมือนการตัดวงจรการเสียน้ำนั้นเอง และเมื่อน้ำมา เช่นฝนตกเขาก็จะสร้างรากออกมารับน้ำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรากเหล่านี้เรียกว่า “rain root” การสร้างรากได้รวดเร็วและเสื่อมสลายได้ง่ายจึงเป็นที่มาว่าการส่งขายกระบองเพชรจึงนิยมตัดรากกัน นอกจากนั้นโอพันเทียยังมีระบบรากที่ไม่ลึก อยู่ตื้นๆ ในชั้นหน้าดิน เมื่อฝนตกลงมาเพียงเล็กน้อยเพียง 30-50 mm ก็เพียงพอที่รากจะดูดซับไป
และโดยรูปพรรณสัณฐานโอพันเทียมีชั้นแว็กซ์เคลือบลำต้นที่หนา และก็ไม่ได้มีใบอย่างแท้จริง ที่เห็นเป็นใบๆ ต่อๆกันนั้นคือลำต้นหรือกิ่งก้าน ใบถูกยุบไปเหลือแค่ช่องเปิดเล็กๆ เท่านั้น
สรุปทั้งหลายทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้นทำให้โอพันเทียใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูง
ในต่างประเทศ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ FAO มีมุมมองว่าในสภาวะที่โลกร้อนขึ้นและขาดแคลนอาหาร โอพันเทียฟิคัสอินดิกาเป็นพืชที่มีความสำคัญมีศักยภาพ ที่จะเป็นแหล่งอาหารของคน สัตว์ และแหล่งพลังงาน (ชีวมวล) ในอนาคต อีกทั้งยังช่วยลดภาวะเรือนกระจก ภาวะโลกร้อนเพราะเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์อย่างดี ได้มีส่งเสริมสนับสนุนให้ปลูกในพื้นที่กึ่งแห้งแล้งทั่วโลกมากมายหลายประเทศ
สำหรับประเทศไทยโอพันเทียกระบอกเพชรกินได้ยังคงเป็นเรื่องใหม่ การปลูกกันเฉพาะในกลุ่มเล็กๆ กลุ่มคนรักแคคตัสกลุ่มคนรักโอพันเทียเท่านั้น และปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับเสียส่วนมาก จึงน่าจะเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่เห็นช่องทางสำหรับการทำเกษตรที่ยั่งยืนในสภาวะที่โลกร้อนขึ้นและขาดแคลนน้ำ